วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2552

Tortaharn.net


มูฮัมหมัด ฟาราห์ ไอดิด ผู้นำโซมาเลีย
ในปี 1993 กองทัพสหรัฐเดินทางมายังโซมาเลีย แอฟริกาตะวันออก ในฐานะ สหประชาชาติ เพื่อมารักษาความสงบและเรียบรeอย และช่วยเหลือผู้หิวโหยซึ่งขาด แคลนอาหาร และมีผู้เสียชีวิตจากการขาดอาหารกว่า 3 แสนคน ซึ่งเกิดจากผู้นำทัพ โมฮาหมัด ฟาราห์ ไอดิค (Mohamed Farrah Aidid) ผู้นำชนกลุ่มน้อย ฮับร์กิดร์ (Habar Gedir) ที่ยึดอำนาจและครองเมือง หลวงโมกาดิชูไว้โดยแย่งชิง และเก็บอาหารที่สหประชาชาติ ส่งมาช่วยเหลือรวม ทั้งต่อต้านการช่วยเหลือประชาชนจากสหประชาชาติ เพื่อตัดกำลังฝ่ายศัตรู สหประชาชาติ และสหรัฐ (นาวิกโยธิน 20,000 นาย) เข้าเคลียร์พื้นที่ และเปิดทางให้อาหารและความช่วยเหลือเข้ามารวมทั้งฟื้นฟูความสงบ

ไอดิค ประกาศสงครามกับสหรัฐและสหประชาชาติ สหรัฐจึง ส่งกองกำลัง ผสมพิเศษ Delta Force, Ranger, 160th SOAR (160th Special Operations Aviation Regiment) ไปยังโซมาเลีย สหรัฐต้องการขจัดปัญหา โดยการลดอำนาจของไอดิค ด้วยการตัดมือและเท้าของไอดิค ด้วยการ จับกุมทหาร คู่ใจของไอดิค คือ Omar Salad และ Mohamed Hassan Awale ผู้ซึ่ง ถูกกล่าวหาว่า เป็นสาเหตุหนึ่งของสงครามกลางเมือง



แผนผังการปฏิบัติการ

เพื่อลดทอนอำนาจของไอดิคทีละน้อย และปฎิบัติการคือ การบุกจับกุม กลุ่มผู้นำชนกลุ่มน้อย รวม 20 กว่าคน ที่จะมาประชุม ในบ้านหลังหนึ่งบนถนนฮอร์วลาดิก ในย่านดาวน์ทาว์น ของโมกาดิชู โดยมีหน่วยเดลต้า 40 นายบุกเข้าจับกุม และมีทหารอีก 4 หน่วยกับ ฮอริคอปเตอร์ Black Hawk 4 ลำคอยคุ้มกัน ผู้ถูกจับกุม จะถูกนำตัวใส่รถบรรทุกฮัมวี 12 คัน แลัวมุ่งหน้ากลับฐานทัพ ซึ่งอยู่ห่างออกไปนอกเมือง 3 ไมล์ ภาระกิจมีเวลาประมาณ 45 นาที เป็นภาระกิจที่ไม่ยากมากนัก



75th Ranger Regiment Bravo Company

ปฏิบัติการ จะใช้ชื่อ Task Force Ranger ซึ่งจัดกำลังจากกรม Ranger ที่ 75 (75th Ranger Regiment) และ Delta Force ส่วนของ Ranger นั้นจะทำหน้าที่ คุ้มกันให้กับ Delta ซึ่งรับผิดชอบใน การจับตัวปฎิบัติการน่าจะเป็นไปด้วยดี แต่การเตรียมตัวสำหรับปฎิบัติการที่ประมาทจนเกินไป รวมทั้งการไม่พกพาเครื่องมือพิเศษและอุปกรณ์สำหรับงานกลางคืนของทหารหลายๆ นาย จนปฎิบัติการผลิกผันเกิดความผิดผลาด เมื่อพลทหารคนหนึ่งตกจากเครื่อง Black Hawk ขณะกำลังโรยตัวลงจากเครื่องที่ความสูง 60 ฟุต (Fast Rope) ทำให้บาดเจ็บ


Fast Rope

และ Black Hawk หมายเลข 61 (Hawk codename Super 61) ก็ถูก RPG ยิงตก ภาระกิจการบุกโจมตีแปรเปลี่ยนเป็นภารกิจช่วยเหลือทหารที่บาดเจ็บ ส่วนการจับกุมกลุ่มผู้นำก็เป็นไปอย่างสับสนล่าช้าเพราะเกิดการโจมตีอย่างหนักจากฝูงชนที่ติดอาวุธ ขบวนรถก็ขับผิดทางหลงวนเวียนอยู่ในเมือง และถูกปิดกั้นถนน ขบวนรถพยายามอย่างหนักเพื่อหาทางกลับฐาน เครื่อง Black Hawk (Hawk codename Super 64) อีกลำถูกยิงตกมีกลุ่มประชาชน ชาวโซมาเลีย ผู้ไม่หวังดีเริ่มรุมล้อมเครื่องที่ตก สังหารนักบิน และลูกทีมยกเว้นนักบิน หนึ่งคนที่ถูกจับเป็นตัวประกัน


SGT.Eversmann และเสนารักษ์เข้ามาดูอาการของพลทหาร T.Blackburn

ขบวนรถกลับถึงฐานทัพได้แล้วแต่ยังมีเจ้าหน้าที่ติดอยู่ในเมือง และ ถูกชาวโซมาเลียล้อมอยู่ ถูกโจมตีอย่างหนักไม่สามารถออกจากเมืองได้ เจ้าหน้าที่ที่อยู่ในฐานทัพ และพวกทีมชุดแรกที่มาพร้อมกับขบวนรถ จัดทีมช่วยเหลือซึ่งประกอบด้วย กองพลเสือผู้เขาที่10 (the U.S. 10th Mountain Division) สองกลุ่ม หน่วยเรนเจอร์ที่เหลือ และกองกำลังรักษาความสงบสหประชาชาติ (กองกำลังปากีสถานกับรถเกราะของมาเลเซีย) รวมตัวกันเพื่อช่วยเหลือผู้ยังติดค้างอยู่ในเมือง

เมื่อทีมช่วยเหลือเดินทางไปถึงก็เป็นเวลากลางคืน มีการต่อสู้อย่างหนัก ทีมช่วยเหลือใช้เฮลิคอปเตอร์ MH-6 Little Bird ในการยิงปืนกล เพื่อคุ้มครองและช่วยนำทาง ในที่สุด ทีมช่วยเหลือก็สามารถนำผู้เสียชีวิต และเจ้าหน้าที่ที่ติดค้าง อยู่ออกมาได้ตามหลักการที่ว่าจะไม่ทิ้งเพื่อนไว้เบื้องหลังไม่ว่าจะเป็น หรือตาย ขณะเดินทางออกจากเมืองทีมเรนเจอร์ไม่สามารถขึ้นบนขบวน รถฮัมวี ได้ต้องเดินเท้ารั้งท้ายขบวนรถเพื่อตอบโต้การโจมตี


ผู้รอดชีวิตกับทีมช่วยเหลือกลับสู่สนามกีฬาที่อยู่ในการควบคุมของสหประชาชาติ จากการปฏิบัติการครั้งนี้มีทหารเสียชีวิต 18 นาย และบาดเจ็บ 73 คน ส่วนใหญ่จะเป็น Ranger รองลงมาจะเป็น Delta และ Night Stalkers (หน่วยบินที่ 160th SOAR) ส่วนทางโซมาเลียมีประชาชนเสียชีวิต ประเมินใน ขั้นต้น 350 คน แต่ หลังจากนั้น 5 ปี มีการตรวจสอบพบว่า มีผู้เสียชีวิต สูงถึง 500 กว่าคน บาดเจ็บกว่า 1000 คน ซึ่งรวมทั้งเด็ก ผู้หญิง และ ผู้สูงอายุ


ปฏิบัติการในครั้งนี้ถือว่าล้มเหลว เพราะการเข้าไปยุ่งวุ่นวายกับต่างชาติ ทำให้มีประชาชนเสียชีวิต และบาดเจ็บสูง ความล้มเหลว อันเนื่องมาจากกการสื่อสาร ที่สับสน ทางหัวหน้าหน่วย Delta กับ Ranger ไม่ได้ติดต่อสื่อสารกันแต่อย่างไร ทหารส่วนใหญ่ของ Ranger อายุก็ ประมาณ 20 ต้น ๆ เพิ่งจบม.ปลายมาเป็น อาจจะขาดประสบการณ์

การปฏิบัติการ Task Force Ranger ได้ประเมินสถานการณ์ต่ำเกินไป เพราะเชื่อว่าสามารถที่จะปฏิบัติการได้อย่างรวดเร็ว ผลที่ตามมาก็เลย ไม่ได้นำสิ่งอุปกรณ์ ที่จำเป็นอื่น ๆ ติดตัวไป เช่น น้ำดื่ม Night Vision Goggles คำกล่าวที่ว่า Ranger Can Do! ก็อาจจะไม่จริงเสมอไป


ผู้ที่เป็น ผบ. Task Force Ranger นั้น คือ พล.ต. William F. Garrison ได้กล่าวในการชี้แจงต่อ สภาผู้แทนราษฎรว่า "If his men had put any more ammunition into the city. We would have sunk it." นั่นก็คือ ประชาชน เด็ก ผู้หญิง และ ผู้สูงอายุก็คงจะเสียชีวิตมากกว่านี้ นี่คืออีกมุมมองของทหาร สหรัฐ ฯ

ยอดขุนพลนาซี : นายพล ไฮน์ กูเดเรียน

saniroj

นายพล ไฮน์ กูเดเรียน (Heinz Guderian) ผู้คิดค้นยุทธวิธีการรบแบบสายฟ้าแลบ

นายพลไฮน์ กูเดเรียน เกิดเมื่อวันที่ 17 มิถุนายน ปี ค.ศ. 1888 ที่เมืองคลุม (Culm) ซึ่งตอนนั้นอยู่ในปรัสเซียตะวันตกของเยอรมัน ปัจจุบันชื่อเมือง Chelmno อยู่ในประเทศโปแลนด์ จบการการศึกษาทางทหาร จากโรงเรียนนายร้อยในเบอร์ลิน ในปี 1908 ได้รับการประดับยศเป็นร้อยตรี ต่อมา ในปี 1913 สมรสกับภรรยาชื่อ Margarete Goerne มีบุตรชายสองคน ซึ่งทั้งตัวเขาและลูกชายทั้งสองคน ต่างก็ร่วมรบในสงครามโลกครั้งที่สอง โดยเฉพาะอย่างยิ่งลูกชายคนโต ซึ่งต่อมาได้เป็นพลตรีของกองทัพเยอรมันในช่วงหลังสงคราม

ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง กูเดเรียน เป็นครูฝึกในโรงเรียนนายร้อยในเบอร์ลิน เขาเริ่มแสดงแนวความคิดใหม่ๆในการใช้ยานยนต์ในการเคลื่อนที่ โดยเฉพาะเมื่อเขาเป็นพันตรี ในปี 1927 เยอรมันถูกจำกัดด้วยสนธิสัญญาแวร์ซาย หน่วยของเขามีแต่มอเตอร์ไซค์และรถบรรทุก เพราะเยอรมันไม่ได้รับอนุญาติให้พัฒนาอาวุธสงคราม เขาพยายามพัฒนาเทคนิคใหม่ๆ ในการเคลื่อนพลอย่างรวดเร็ว เขาเดินทางไปดูการพัฒนารถถังของนาซีอย่างลับๆในรัสเซีย

หลังจากนั้นกลับมาติดตั้งรถบรรทุกของเขาด้วยป้อมปืนไม้ แล้วใช้รถบรรทุกเหล่านี้แบบรถถัง เขาจึงได้ชื่อว่าเป็นผู้ให้กำเนิด แนวความคิดของการใช้รถถังในการรุก และเป็นผู้ให้กำเนิด หน่วย Panzer หรือ หน่วยยานเกราะของเยอรมัน โดยกูเดเรียนได้อ่าน แนวคิดการใช้ยานเกราะของอังกฤษ ซึ่งเขียนโดย J.F.C Fuller ในปี 1929 และนำมาปรับใช้อย่างจริงจังครั้งแรกในกองทัพนาซีเยอรมัน


เมื่อฮิตเลอร์ขึ้นสู่อำนาจ ฮิตเลอร์ได้เดินทางไปชมการฝึกซ้อมของหน่วยยานเกราะเล็กๆ ของกูเดเรียน ซึ่งมีความคล่องตัว แตกต่างไปจากรถถังในสงครามโลกครั้งที่หนึ่ง รถถังจำลองของกูเดเรียนวิ่งไปรอบสนามฝึก สร้างความประทับใจให้กับฮิตเลอร์เป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม ในช่วงแรกของการใช้รถถังเป็นกำลังหลักในการรุกนั้น กูเดเรียนต้องประสบกับการต่อต้าน แนวความคิดนี้ จนในปี 1937 ก่อนเกิดสงครามโลกครั้งที่สอง 3 ปี กูเดเรียนได้เขียนหนังสือชื่อ Achtung Panzer (อาคตุง แพนเซอร์ - ระวัง ยานเกราะ) ซึ่งหนังสือเล่มนี้ได้นำเสนอแนวคิด ในการใช้รถถังเป็นกำลังหลักในการโจมตีแบบสายฟ้าแลบ หรือที่เรียกว่า Blitzkrieg


นายพลกูเดเรียน (กลาง)

ต่อมาฮิตเลอร์ฉีกสนธิสัญญาแวร์ซาย เริ่มสะสมอาวุธ และสร้างกองทัพอย่างขนานใหญ่ กองพลยานเกราะ (Panzer Division) 3 กองพลถูกตั้งขึ้นอย่างเปิดเผย กูเดเรียนซึ่งขณะนั้นมีความโดดเด่นจากแนวคิดการใช้ยานเกราะนี้ ทำให้เขาใกล้ชิดกับฮิตเลอร์ ได้รับการแต่งตั้งเป็นผู้บัญชาการกองพลยานเกราะที่ 2 (2nd Panzer Division) พร้อมๆกับครองยศ พลตรี (Major General) และอีกไม่ถึงปีครึ่ง เขาก็ได้เป็นพลโท พร้อมกับตำแหน่งแม่ทัพกองทัพน้อยที่ 16 (XVI Army-Corps)


นายพลกูเดเรียน กำลังยืนคุยกับเหล่าเสนาธิการบนรถถังไทเกอร์ 1

อีกเพียงสิบเดือนต่อมา เขาก็ดำรงพลเอก ในตำแหน่งผู้บัญชาการกองกำลังเคลื่อนที่เร็ว (Chief of fast troops) ซึ่งรับผิดชอบการจัดตั้ง การฝึก และการใช้ยุทธวิธีในการรุกด้วยยานเกราะ ซึ่งตำแหน่งนี้ ส่งผลให้ เกิดการเปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์การรบสมัยใหม่ ด้วยยานเกราะ มาจนถึงปัจจุบัน รวมทั้งส่งผลให้ หน่วย Panzer กลายเป็นหน่วยรบที่น่ากลัวที่สุดในโลกขณะนั้น

ลึกลับกับการผ่าตัดมนุษย์ต่างดาว

เรื่องราวของฟิล์มภาพยนต์การผ่าตัดมนุษย์ต่างดาว เริ่มขึ้นในปี 1992 เมื่อผู้สร้างภาพยนต์เรย์ ซานติลีกำลังค้นหาฟิล์มภาพยนต์ของเอลวิส เพรสลี่ย์เพื่อใช้ประกอบสารคดีที่เขากำลังจัดทำ เขาอ้างว่าได้ซื้อฟิล์มภาพยนต์ขนาด 16 มิลลิเมตร มีความยาวกว่า 91 นาที(ไม่เปิดเผยถึงราคาที่ซื้อมา) เป็นฟิล์มภาพยนต์ที่เกี่ยวกับการผ่าตัดซากมนุษย์ต่างดาว

โดยซื้อมาจากช่างภาพของกองทัพ(ไม่เปิดเผยชื่อ)ที่ถูกมอบหมายให้ทำการถ่ายภาพยนต์การผ่าศพมนุษย์ต่างดาว ซานติลีได้อ้างว่าช่างภาพได้บอกกับเขาว่าหลังเหตุการณ์การตกที่รอสเวลส์เกิดขึ้นได้ไม่นานช่างภาพได้ถูกทางกองทัพเรียกตัวให้มาที่ Fort Worth, Texas เพื่อทำการถ่ายภาพยนต์ในตอนแรกเขาก็ไม่ทราบว่าเป็นการถ่ายภาพยนต์การผ่าตัดมนุษย์ต่างดาว และเขาได้กล่าวอีกว่าทางกองทัพหละหลวมในการเก็บฟิล์มภาพยนต์ เขาจึงได้ลักลอบนำฟิล์มภาพยนต์ออกมาจากกองทัพด้วย ซานติลีได้อ้างว่าฟิล์มภาพยนต์ชุดนี้เป็นของจริงและเขาซื้อฟิล์มเหล่านี้เก็บไว้ทั้งหมดและได้เก็บเรื่องเงียบไว้ จนกระทั่งในปี 1995






ภาพยนต์ชุดนี้ได้ถูกนำมาออกแสดง และเครือข่ายทีวีของ FOX นำภาพยนต์ชุด นี้ออกอากาศ ในปี 1995ในรายการ One-hour special ผลปรากฏว่ามีคนสนใจดูมากจนต้องมีการนำมาออกอากาศซ้ำอีกถึงสี่ครั้งหลังจากนั้นทำให้มีการถ่ายถอดออกไปใน อังกฤษ , เยอรมัน , ฮอลล์แลนด์ , บราซิล และอิตาลี แน่ละความสงสัยได้ก่อตัวขึ้นมาในทันที เพื่อที่จะหาความสัมพันธ์กันระหว่างฟิล์มภาพยนต์ที่ค้นพบกับเหตุการณ์การตกที่รอลเวลส์ในปี 1947

ผู้เชี่ยวชาญจากหลายๆด้านเป็นจำนวนมากไม่ว่าจะเป็น นักหนังสือพิมพ์นักค้นคว้าเกี่ยวกับจานบิน ผู้เชี่ยวชาญทางด้าน Special Effect และนักวิทยาศาสตร์ ที่ได้ดูภาพยนต์ชุดนี้ส่วนใหญ่ได้ลงความเห็นว่าฟิล์มภาพยนต์นี้เป็นของปลอม แต่ก็ได้มีผู้ที่ออกมาสนับสนุนว่าฟิล์มเป็นของจริงเหมือนกันอย่างเช่น ฟิลลิป แมนเทิล แห่งสถาบัน British UFO Research Association จุดที่ก่อให้เกิดข้อโต้แย้งมากที่สุดคือระดับของความสมจริง หลายๆคนเชื่อว่าซากของมนุษย์ต่างดาวที่ได้เห็นในภาพยนต์เป็น หุ่นที่ทำขึ้นมาในขณะที่อีกหลายๆคนเชื่อว่าใช้ศพของมนุษย์มาทำการดัดแปลง หนึ่งในข้อที่น่าสงสัยคือเวลาที่ดูอย่างละเอียดที่อวัยวะภายในจะพบว่าไม่มีความเหมือนจริง


ในภาพยนต์จะแสดงให้เห็นถึงหมอที่ทำการผ่าตัดอยู่ในชุดคลุมสีขาวทั่วตัวและใส่ที่คลุมศีรษะเพื่อป้องกันอันตรายจากการผ่าตัด กำลังทำการผ่าตัดมนุษย์ต่างดาว แต่จะเห็นได้ชัดเจนว่าไม่มีสิ่งที่บ่งบอกที่ชี้เฉพาะเลยว่าเป็นสถานที่หรือกระทำการโดยกองทัพ และห้องที่ใช้ทำการผ่าตัดก็ดูมีลักษณะที่พิกลๆอยู่


บริษัท FOX ได้ออกมากล่าวถึงฟิล์มภาพยนต์ชุดนี้ว่ามีความสงสัยถึงความคลาดเคลื่อนในเรื่องของเวลาซึ่งมันอาจจะเป็นการพิสูจน์ว่าฟิล์มถูกปลอมแปลงขึ้นม าก็ได้ FOX ได้ตั้งข้อสังเกตุว่า นาฬิกา โทรศัพท์และเครื่องมือที่ใช้ในการผ่าตัดเห็นเพียงแวบเดียว ส่วนสิ่งที่เห็นไกลๆในภาพดูเหมือนว่าเป็นเทคโนโลยีที่มีขึ้นห ลังปี 1940ในการทำการผ่าตัดดูล้ายกับว่าเป็นการเล่นละครมากกว่าช่างภาพได้ใช้มือถือกล้องแทนที่จะใช้ขาตั้งและมุมกล้องได้หลบเลี่ยงฉากที่กำลังเปิดกระโหล กศีรษะมนุษย์ต่างดาวโดยมุมกล้องถูกเปลี่ยนไปถ่ายที่หลังของหมอที่ทำการผ่าตัดแทน

ในบางมุมกล้องดูเหมือนว่าบริเวณลำตัวของมนุษย์ต่างดาวดูเหมือนว่าเป็ นของจริง แต่ในอีกมุมหนึ่งดูเหมือนว่ามันอาจจะเป็นหุ่น และ FOX ยังได้กล่าวว่าในการพิสูจน์มนุษย์ต่างดาว มีเพียงสามประการเทานั้นที่เป็นไปได้คือ สิ่งที่เห็ นในภาพยนต์เป็นมนุษย์ต่างดาวจริงๆหรือเป็นหุ่นที่ทำขึ้นมาหรือเป็นมนุษย์ที่มีรูปร่างผิดปรกติFOX ได้ขอความคิดเห็นของทีมงาน Hollywood Special-Effect เกี่ยวกับภาพยนต์ชุดนี้และพวกเขาได้ลงความเห็นในเรื่องนี้ว่า ถ้านั่นคือการปลอมแปลงขึ้นมา มันจะเป็นการดีกว่าถ้าพวกเขาสร้างมันขึ้นมา


นักวิจัยหลายคนให้ความเห็นว่ามนุษย์ต่างดาวในภาพยนต์นั้นอาจจะเป็นมนุษย์ ที่มีรูปร่างที่ผิดปรกติก็เป็นไปได้ ในทฤษฏีที่เกี่ยวกับการกำเนิดผิดรูปร่างของมนุษย์อาจก่อให้เกิด หูเล็ก , หัวใหญ่ ตาโป่งกลมก็เป็นได้ซึ่งจะมีความคล้ายคลึงกับ มนุษย์ต่างดาวที่เห็นในภาพยนต์ แต่สิ่งที่หลายๆคนได้มองข้ามไป จากความเห็นที่ตรงกันของหลายคนสิ่งที่จะช่วยสนับสนุนว่าฟิล์มนี้เป็นของจริงนั่นคือในภาพท ี่ไกลออกไปสามารถมองเห็นประธานาธิบดี ไอเซนฮาวร์ เพียงแวบเดียว แน่นอนมันอาจดูเหมือนเป็นไปได้แต่ก็ไม่มีใครให้ความเห็นเกี่ยวกับเรื่องนี้เลย

และอีกฉากหนึ่งที่หมอที่ทำการผ่าศพได้เอาเยื่อหุ้มตาสีดำที่โป่งนูนออกจากตาของมนุษย์ต่างดาวซึ่งจะทำให้เห็นว่าตาเป็นสีขาวและลูกตาได้กลิ้งหุบเข้าไปในเบ้าตาเกิด อะไรขึ้น หรืออาจจะกล่าวได้ว่า ตาสีดำโป่งนูนของมนุษย์ต่างดาวเป็นคอนแท็กเลนส์ชนิดอ่อนสีดำ?หรือหมอที่ทำการผ่าตัดได้ใส่เยื่อหุ้มตาเข้าไปในตาของมนุษ ย์ต่างดาวในตอนแรกเพื่อที่จะรักษาสภาพของตาเอาไว้ ? นี่ก็เป็นอีกหนึ่งฉากที่ไม่มีให้ความเห็น




ภาพที่เห็นในภาพยนต์นั้นดูเหมือนว่าจะเป็นการหลอกลวง สิ่งต่างๆดุเหมือนว่าไ ด้มีการโน้มน้าวใจเพื่อที่จะทำให้รู้ว่า ฟิล์มภาพยนต์ชุดนี้เป็นการหลอกลวง ถ้ามองดูอีกแง่หนึ่งจะพบว่ารัฐบาลสหรัฐอาจจะเป็นผู้ทำฟิล์มชุดนี้ก็ได้ เพื่อเปิดเผยใ ห้ทราบว่ามันเป็นสิ่งที่ปลอมแปลงขึ้นมาเพื่อที่จะลดความกระตือรือร้นของความต้องการของประชาชนของอเมริกาที่ได้มีการเรียกร้องให้รัฐบาลได้เปิดเผยการพิ จารณาการตกที่เมืองรอสเวลส์ในปี1947ที่ทางรัฐบาลสหรัฐได้ทำการปกปิดมาตลอดกว่า 50 ปี



ดังนั้นการตัดสินใจที่เกี่ยวกับข้อเท็จจริงของฟิล์มภาพยนต์ชุดนี้ ซึ่ งเกี่ยวกับการตกที่เมืองรอสเวลส์ในปี 1947 ที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ต่างดาวมันอาจจะอยู่แค่ในเฉพาะวงผู้สนใจเรื่องมนุษย์ต่างดาวเท่านั้น

มนุษย์ต่างดาวกำลังจะบุกโลก ?

Thairath

เรื่อง War of the Worlds (หรือสงครามระหว่างดวงดาว) เป็นนิยาย วิทยาศาสตร์ที่ เอช.จี.เวลส์ แต่งขึ้นเมื่อ 107 ปีก่อน (ค.ศ.1898) ทั้งสนุก และตื่นเต้น ภาพยนตร์เรื่องนี้ใช้ ชื่อว่า อภิมหาสงครามล้างโลก นิยายเรื่องนี้มีเบื้องหลังที่น่าสนใจมากๆ

เมื่อครั้งที่ War of the Worlds ออกอากาศทางวิทยุครั้งแรก มันได้สร้างความแตกตื่น ฮือฮามาก เปล่า! ไม่ใช่ อย่างที่คิด แต่เป็นเพราะ เอช.จี.เวลส์ เขียนได้เหมือนจริงมากเสียจน ผู้ฟังพากันแตกตื่นตกใจ วิ่งหนีกันจ้าละหวั่น เพราะนึกว่ามนุษย์ดาวอังคารมาบุกโลกจริงๆ! ทางการสหรัฐฯจึงต้องออก มาชี้แจงให้ประชาชนอยู่ ในความสงบ

หลังจากนั้น “มนุษย์ ต่างดาว” และ “ยูเอฟโอ” ก็กลายเป็นเรื่องที่ผู้คนให้ความสนใจ กันขึ้นมาครั้งแรก และ เอช.จี.เวลส์ ก็ได้ชื่อว่าเป็นต้นแบบของนิยายมนุษย์ต่างดาวบุกโลก

วงการวิทยาศาสตร์ พยายามติดต่อกับมนุษย์ ที่อยู่บนโลกอื่นมานานแสนนาน แต่ก็ไม่สำเร็จสักครั้ง ไม่มีมนุษย์ต่างดาวหน้าไหนอยากคบหาสมาคมกับมนุษย์โลกหน้าตาน่ารัก อย่างพวกเราเลย แต่...ก็ยังมีคนจำนวนมากทั่วโลกแย้งว่าไม่จริ๊งไม่จริง และยืนยันว่าเคยถูกมนุษย์จาก ดาวดวงอื่นแวะเวียนมาเยี่ยมเยียน!

ต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงที่เล่าต่อๆ กันมาเกี่ยวกับมนุษย์ประหลาดจากสารพัดดาว ที่พากันมาบุกโลก...



ยูเอฟโอบุกลอส-แอนเจลิส

หลังจากสหรัฐฯเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่สองเพียงไม่กี่เดือน ในคืนวันที่ 25 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1942 ได้เกิดเหตุการณ์โกลาหลที่ทำให้ท้องฟ้าของนครลอสแอนเจลิส สว่างไปด้วยประกายไฟจากกระสุนปืนใหญ่ นานนับชั่วโมง เนื่องจากกองทัพสหรัฐฯยิงเข้าใส่ผู้บุกรุกจากนอกโลก!

เมื่อเวลาตีสองกว่า เรดาร์ตรวจจับฝูงบินลึกลับกลุ่มหนึ่งอยู่ห่างออกไป 200 กม. ไม่นานเสียงสัญญาณเตือนภัยก็ดังทั่วลอสแอนเจลิส เมืองทั้งเมืองถูกตัดไฟ เมื่อเวลา 03.16 น. ปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานเริ่มระดมยิงเข้าใส่ “ยานลึกลับ” ที่มุ่งหน้ามาจากทางมหาสมุทร ขณะที่ลำแสงไฟจากพื้นดินกราดส่องไปทั่วท้องฟ้า

ฝูงบินลึกลับประกอบด้วยยาน ลำเล็กความเร็วสูงจำนวน 15 ลำ มีสีเงินหรือแดง บินเรียง กันมาเป็นขบวนแถวและฝ่ากระสุนปืนใหญ่ไปด้วยความ เร็ว 29,000 กม./ชม. ผู้สังเกตการณ์ภาค พื้นดินรายงานว่า มันเป็นยานที่มีแสงเจิดจ้า บางช่วงก็ลอยลำนิ่ง สามารถปรากฏและหายไปในพริบตาราวกับฝูงบินผี พวกมันบินฉวัดเฉวียนและซิกแซ็ก ไปทางนั้นทางนี้ บางช่วงก็บินช้ามากราวกับรู้ตัวว่าได้สร้างความแตกตื่น ให้กับผู้ชมหลายพันคนเบื้องล่าง

มีการระดมยิงปืนใหญ่นานนับชั่วโมง กองทัพสหรัฐฯหมดกระสุนไป 1,430 ลูก แต่ ที่ทำให้เสียขวัญที่สุดก็คือความจริงอันยากจะเข้าใจที่ว่า ยานบินเหล่านั้นไม่ร่วงลงมาซักลำ!



ยูเอฟโอเยี่ยมทำเนียบขาว

ในปี ค.ศ. 1952 แขกจากต่างดาวได้ เดินทางมาเยือนทำเนียบขาวเป็นจำนวน 4 วัน ทั้งนี้ โดยที่ไม่ได้รับเชิญแต่อย่างใด

เมื่อวันที่ 19 และ 20 กรกฎาคม ในเวลาระหว่าง 11.40-05.00 น. เรดาร์สองตัวของ กรุงวอชิงตัน เมืองหลวงของอเมริกา ตรวจจับได้ว่ามียานบิน 8 ลำ กำลังบินอยู่ในเขตพื้นที่ หวงห้าม ด้วยความเร็ว 160-420 กม./ชม. แล้วจู่ๆก็เร่งเครื่อง ได้เร็วอย่างน่าเหลือเชื่อ บรรดานักบินของสายการบินต่างรายงานว่าเห็น แสงประหลาดกลางท้องฟ้าเหนือเมืองหลวง มีท่าทางลักษณะอย่างเดียวกัน เมื่อส่งเครื่องบินขับไล่ขึ้นไป ฝูงบินลึกลับจึงหนีหายไป และกลับมาอีกเมื่อเครื่องบินขับไล่ลงจอด มีอยู่ช่วงหนึ่ง กลุ่มผู้ ควบคุมเรดาร์มองเห็นลูกไฟสีส้มขนาด ใหญ่เหนือฐานทัพอากาศ



ในวันที่ 26-27 กรกฎาคม เริ่มตั้งแต่สามทุ่ม ฝูงบินจากนอกโลกจำนวน 12 ลำ ก็ได้ออกบินในลักษณะเดิมอีก เครื่องบินขับไล่ถูกส่งขึ้นไปจากหลายๆเมือง มีอยู่ช่วงหนึ่ง ยูเอฟโอลอยลำนิ่งให้เห็น เรืออากาศโทวิลเลียม แพทเตอร์สัน นักบินของเครื่องบิน ขับไล่รายงานว่า เขาถูกล้อมรอบไปด้วยวงแหวนขนาดมหึมาสีฟ้า-ขาว แต่แสงนั้นเคลื่อนหาย ไปก่อนที่เขาจะได้รับอนุญาตให้ยิง

และในวันที่ 29 มิถุนายน 2548 นี้ เรื่องราวมนุษย์ต่างดาวบุกโลก ก็จะกลับมาตอกย้ำ ความรู้สึกแห่งจินตนาการของทุกคนอีกครั้ง ใน “War of the Worlds” ภาพยนตร์จากพาราเม้าต์พิคเจอร์สและดรีมเวิร์คส์ พิคเจอร์ส กำกับโดย สตีเว่น สปีลเบิร์ก นำแสดงโดย ทอม ครูซ, ดาโกต้า แฟนนิ่ง, มิแรนด้า อ็อตโต และซุปเปอร์สตาร์ ระดับโลกอีกมากมาย

จากวรรณกรรมคลาสสิกสู่แผ่นฟิล์ม ทำให้ War of the Worlds กลายเป็นภาพยนตร์ ที่เกี่ยวกับการบุกรุกของพวกต่างดาว ที่น่ากลัวและน่าตื่นเต้น เผยให้เห็นถึงการต่อสู้

ครั้งสำคัญเพื่ออนาคตของมนุษยชาติผ่านสายตาของครอบครัวอเมริกันครอบครัวหนึ่ง

1942 สงครามเวหาที่ลอสแองเจลิส : UFO หรือเครื่องบินญี่ปุ่น

Matichon

ไม่กี่สัปดาห์หลังจากโจมตีฐานทัพเรือสหรัฐที่เพิร์ล ฮาเบอร์ เรือดำน้ำญี่ปุ่นก็โผล่ขึ้นเหนือน้ำนอกชายฝั่งลอสแองเจลิสและใช้ปืนประจำเรือระดมยิงบ่อน้ำมันแอลวูดซึ่งอยู่ห่างจากซานตา บาร์บารา ทางตะวันตกเฉียงเหนือ 12 ไมล์


นี่คือสัญญาณที่ทำให้ลอสแองเจลิสในช่วงเวลานั้นต้องตกอยู่ในภาวะเตรียมพร้อมรับมือการโจมตีจากเรือดำน้ำและเครื่องบินจากกองทัพอากาศญี่ปุ่น ซึ่งอาจจะเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้


แล้วในคืนวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 1942 เวลา 02.25 น. หรือย่ำรุ่งของวันที่ 25 กุมภาพันธ์ 1942 ลอสแองเจลิสก็อยู่ในความมืดมิด เสียงไซเรนดังกึกก้องนานถึง 38 นาที ปลุกชาวเมืองลอสแองเจลิสราว 3 ล้านคนให้ตื่นขึ้นมา ลอสแองเจลิสกำลังจะถูกโจมตีทางอากาศ


สปอตไลท์หลายดวงจากกองพลปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 37 สาดส่องหาเป้าหมายอากาศยานที่บุกรุกได้เหนือภูเขาซานตา โมนิกา พลันปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานทุกกระบอกก็ระดมยิงทันที ทว่าไม่มีการยิงโต้ตอบหรือทิ้งระเบิดจากอากาศยานดังกล่าวเลย ที่สำคัญกระสุนปืนใหญ่จำนวน 1,430 นัดไม่สามารถทำอันตรายใดๆ แก่ยานผู้บุกรุกได้

สะเก็ดของกระสุนปืนได้ตกลงบนพื้นดินกินบริเวณกว้างหลายไมล์และทำลายบ้านเรือนเสียหายหลายหลังและ มีผู้เสียชีวิต 6 คน จากสะเก็ดกระสุนปืนใหญ่ 3 คน และหัวใจวาย 3 คน


ผู้เห็นเหตุการณ์จำนวนมากรายงานว่า ภาพอากาศยานที่สปอตไลท์จับไว้ได้นั้นไม่ใช่เครื่องบิน แต่มีรูปทรงกลม และเรืองแสงซึ่งไม่เคยมีใครเคยเห็นมาก่อน ที่น่าฉงนใจก็คือกระสุนปืนใหญ่ที่พุ่งเข้าใส่อากาศยานผู้บุกรุกราวกับห่าฝนกลับทำอะไรมันไม่ได้

แรกทีเดียวบางคนคิดว่ามันเป็นเครื่องบินญี่ปุ่นที่มาทิ้งแฟล์เพื่อเป็นเป้าให้ฝูงบินทิ้งระเบิด แต่ต้องล้มเลิกความคิดนี้ไปเมื่อไม่มีฝูงบินทิ้งระเบิดตามมา


ตอนสายวันเดียวกันหน่วยบัญชาการกองทัพด้านตะวันตกได้ออกมาแถลงยืนยันทันทีว่าปฏิบัติการระดมยิงเมื่อเวลาย่ำรุ่งเกิดจากการพบวัตถุบินที่ไม่ทราบว่าเป็นอะไรเหนือชายฝั่ง และศูนย์บัญชาการทหารในซานฟรานซิสโกก็ยืนยันเช่นกันว่ามีอากาศยานที่ไม่ทราบว่าเป็นอะไรบินอยู่ทางใต้ แต่กองทัพเรือที่วอชิงตันแถลงว่าเป็นการเตือนการโจมตีทางอากาศที่ผิดพลาดและก่อให้เกิดการตื่นตระหนก อย่างไรก็ตามได้แนะนำว่าควรย้ายโรงงานอุตสาหกรรมทางทหารบริเวณแนวชายฝั่งเข้าอยู่ด้านในเพื่อหลีกเลี่ยงการโจมตีจากเรือดำน้ำญี่ปุ่นและเครื่องบินทิ้งระเบิด


อะไรเกิดขึ้นกันแน่ ขณะที่หน่วยทหารในพื้นที่ยืนยันว่ามีอากาศยานผู้บุกรุกจริง แต่ทำไมกองทัพเรือที่วอชิงตันจึงปฏิเสธทั้งที่มีพยานหลักฐานทั้งพยานบุคคลในสมัยนั้นเป็นจำนวนมาก และทั้งหลักฐานภาพถ่ายที่ตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ลอสแองเจลิส ไทม์ ฉบับวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 1942 ซึ่งแสดงให้เห็นว่าสปอตไลทŒจำนวน 8 ดวงจับภาพของอากาศยานรูปทรงกลมไว้ได้ และยังเห็นกระสุนปืนใหญ่จำนวนมากกำลังระเบิดบริเวณรอบๆยานด้วย

นี่คือเหตุการณ์หนึ่งในยุคของ "คลื่นยูเอฟโอยุคใหม่" ซึ่งเริ่มในทศวรรษที่ 1940 และกำลังถูกสืบสาวราวเรื่องเพื่อหาความจริง




นักวิจัยยูเอฟโอได้ทำการสืบค้นเรื่องราวจากพยานบุคคลในช่วงเวลาดังกล่าวและพบบุคคลที่น่าเชื่อถือสองคน พยานทั้งสองได้บอกเล่าเรื่องราวเหตุการณ์ในคืนวันนั้น

คนแรกคือ แคธี สุภาพสตรีนักตบแต่งภายในและอาร์ติสต์ซึ่งทำงานร่วมกับฮอลลีวูดมานาน เธอเล่าว่าขณะยังเด็กเธออาศัยอยู่ทางตะวันตกของลอสแองเจลิส ไม่ไกลจาก ซานตา โมนิกา นัก ขณะนั้นเธอเป็นอาสาสมัครป้องกันภัยทางอากาศเหมือนคนอื่นๆ รุ่งสางของวันที่ 25 มกราคม 1942 เธอได้รับโทรศัพท์จากผู้บังคับหน่วยป้องกันภัยทางอากาศประจำพื้นที่ถามว่าเห็นวัตถุบินใกล้ๆ บ้านหรือไม่ แคธีรีบเดินไปที่หน้าต่างและมองออกไป

สิ่งที่เธอเห็นคืออากาศยานขนาดใหญ่สีเหลืองอ่อนซึ่งเธอไม่เคยเห็นมาก่อน แคธีเล่าต่อไปว่า ต่อจากนั้นหน่วยป้องกันภัยทางอากาศได้ฉายสปอตไลท์ค้นหามันและส่งเครื่องบินหลายลำออกทำการโจมตี(ซึ่งกองทัพอากาศปฏิเสธว่าไม่เคยส่งเครื่องบินออกปฏิบัติการ) เครื่องบินได้ทำการระดมยิงอากาศยานลำนั้นนานถึงครึ่งชั่วโมงแต่ทว่าไม่สามารถทำความเสียหายแก่ยานได้ และในที่สุดมันก็ได้บินหายลับไป


คนที่สอง คือโปรเฟสเซอร์ สก๊อตต์ ลิตเติลตัน เขาเขียนบันทึกเหตุการณ์ไว้ว่า เขาเป็นพยานที่เห็นเหตุการณ์ที่ไม่มีวันลืมเลือน ขณะที่เขาอายุ 8 ขวบ ครอบครัวของเขาอาศัยอยู่บริเวณหาดเฮอร์โมซา เมื่อเสียงไซเรนดังขึ้น พ่อของเขาก็ออกไปทำหน้าที่ร่วมกับทางการ ส่วนเขาและแม่อยู่กับบ้านและได้เห็นวัตถุเรืองแสงซึ่งสปอตไลทŒของหน่วยปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานจับมันไว้ได้ วัตถุดังกล่าวบินอย่างช้าๆ เหนือทะเลจากตะวันตกเฉียงเหนือไปยังตะวันออกเฉียงใต้ และมุ่งหน้าเข้ามายังแผ่นดินเหนือหาดรีดันโด หลังจากนั้นก็หายลับที่บริเวณภูเขาพาลอส เวอร์เดส

ลิตเติลตันเล่าต่อไปว่า เขาไม่แน่ใจว่าจะบอกลักษณะยานได้ถูกต้องนัก ยานที่เห็นมีขนาดเล็ก เรืองแสง รูปทรงของยานคล้ายกับขนมเปียกปูน มีแสงไฟดวงหนึ่ง และมีเพียงลำเดียว ไม่เหมือนกับรายงานของคนอื่นที่บอกว่ามีหลายลำ ที่สำคัญเขามั่นใจว่ามันคือยูเอฟโอ


นอกจากพยานบุคลแล้ว ได้มีการค้นพบเอกสารสำคัญสองฉบับซึ่งทำให้เหตุการณ์การรบทางอากาศเหนือลอสแองเจลิสน่าสนใจขึ้นมาไม่แพ้เหตุการณ์ เคเนธ อาร์โนล เห็นวัตถุบินลึกลับที่เขาเรียกว่า "จานบิน" และเหตุการณ์จานบินตกที่รอสเวลล์อันโด่งดังซึ่งเกิดขึ้น ในปี 1947


เอกสารฉบับแรกเป็นของประธานาธิบดี แฟรงกลิน ดี รูสเวลต์

ประธานาธิบดีรูสเวลต์ได้มีหนังสือลับสุดยอดถึงประธานเสนาธิการทหาร นายพล จอร์จ ซี มาร์แชล หลังจากเหตุการณ์การรบทางอากาศที่ลอสแองเจลลิสเพียงสองวัน คือในวันที่ 27 กุมภาพันธ์ 1942 มีใจความว่า เขาได้พิจารณากำหนดให้กองทัพได้ครอบครองวัตถุที่มีความสำคัญมากต่อการพัฒนาอาวุธพิเศษและตกลงใจที่จะไม่แบ่งปันข้อมูลให้กับพันธมิตรคือสหภาพโซเวียต หลังจากได้ปรึกษากับ ดร.บุช และนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆ เรื่องการหาหนทางใช้ "ความลับอะตอมมิค" ในทางปฎิบัติ โดยศึกษาจาก "เครื่องประดิษฐ์จากท้องฟ้า" แล้วเขาได้สั่งให้ ดร.บุชดำเนินโครงการโดยเร็ว รูสเวลต์ย้ำว่าข้อมูลนี้มีความสำคัญสุดยอดต่อความเหนือกว่าของชาติและต้องเป็นความลับของชาติด้วย


เอกสารฉบับที่สอง เป็นของนายพล จอร์จ ซี มาร์แชล นายพลมาร์แชลได้มีหนังสือลับสุดยอดถึงประธานาธิบดีรูสเวลต์ในวันที่ 5 มีนาคม 1942 โดยหัวหนังสือมีข้อความว่า "หน่วยปรากฏการณ์ระหว่างดวงดาว" ใจความของหนังสือฉบับนี้ระบุว่า กองทัพอากาศได้พบวัตถุบินที่คล้ายกันที่ ภูเขาซาน เบอร์นาร์ดิโน ทางตะวันออกของลอสแองเจลิสด้วย และอากาศยานลึกลับนี้ไม่ใช่เป็นของโลกเรา เป็นไปได้ว่ามันมาจากระหว่างดวงดาว


เรื่องนี้กำลังชวนให้ติดตาม เพราะนักวิจัยยูเอฟโอตีความข้อความในหนังสือทั้งสองฉบับนั้นว่าเป็นผลมาจากการปรากฏตัวของอากาศยานลึกลับเมื่อรุ่งสางของวันที่ 25 มกราคม 1942 และน่าจะเป็นสิ่งเดียวกันกับ "เครื่องประดิษฐ์จากท้องฟ้า" ของประธานาธิบดีรูสเวลต์และเมื่อปะติดปะต่อกับเหตุการณ์จานบินตกที่รอสเวลล์ในปี 1947 แล้วดูเหมือนว่ามันจะคล้องจองกัน

ปรากฏการณ์ลึกลับ : การชำแหละวัวโดยมนุษย์ต่างดาว

9 มิถุนายน 2005 ปรากฏการณ์วัวตายอย่างลึกลับในท้องทุ่งในประเทศสหรัฐอเมริกาได้เกิดขึ้นอีกครั้งหนึ่งที่เมืองพอนเดรา มอนตานา หลังจากที่เคยเกิดขึ้นที่เมืองนี้และบริเวณใกล้เคียงมาแล้วนับสิบแห่งเมื่อปี 2001


เจ้าของวัวที่เคราะห์ร้ายคือ มาร์ค ทาเลียเฟอโร ซึ่งเคยมีประสบการณ์เช่นเดียวกันนี้เมื่อปี 2001 คราวนี้เขาพบลูกวัวตอนแล้วหมายเลข 304 นอนตายอยู่ในทุ่งหญ้าห่างจากบ้านไม่ถึงสองไมล์ทาเลียเฟอโร โทร.แจ้งทางการทันทีเพราะซากของวัวที่ตายมีรูที่ท้องของมัน ซึ่งเป็นการตายที่ผิดปกติ



นายอำเภอ โทมัส เอ. คูกา ได้รุดมายังที่เกิดเหตุเพื่อทำการสืบสวนทันที การชันสูตรพบว่าลูกวัวมีรูที่ท้องบริเวณเต้านมทะลุเข้าไปในลำไส้ และนี่เองคือสาเหตุที่ทำให้มันตาย คูกาบอกว่า รูที่ท้องวัวมีรูปทรงกลมและเหมือนกับถูกทำให้ไหม้ด้วย และลูกอัณฑะหายไป รูดังกล่าวพุ่งตรงเข้าไปในท้องจนเห็นข้างในเลยทีเดียว ทว่าไม่มีเลือดออกและไม่กระทบต่อเนื้อเยื่อส่วนอื่นๆ เลย นอกจากนั้น ลิ้นของลูกวัวส่วนปลายยังถูกตัดด้วยมุมเฉียง 45 องศา ซึ่งคูกาบอกว่า มันไม่เหมือนเคสอื่นๆ ที่เขาเคยเห็น คือลิ้นวัวจะหายไปทั้งหมด


คูกาให้ความเห็นว่าสัตว์นักล่าไม่สามารถจะทำเช่นนี้ได้

และสรุปว่า รูที่ท้องของลูกวัวตัวนี้น่าจะเกิดจากการถูกตัดด้วยเครื่องมือบางอย่างและถูกทำให้ไหม้และตั้งคำถามว่า มีเครื่องมือชนิดใดที่ทำเช่นนี้ได้ ?


นี่คือ ปรากฏการณ์ประหลาดที่เรียกกันว่า "การชำแหละวัวในท้องทุ่ง" (Cattle Mutilation Phenomena) ที่ระบาดในอเมริกาเหนือมานานแล้ว ส่วนใหญ่ท้องของวัวเคราะห์ร้ายถูกเจาะเป็นรูขนาดใหญ่รูปไข่ แต่ไม่มีเลือดไหลออกมา และอวัยวะบางส่วนโดยเฉพาะลำไส้มักหายไป แต่ไม่มีร่องรอยการดิ้นรนเพื่อหนีความตายของวัวหรือแม้กระทั่งรอยเท้าในบริเวณที่มันตาย


หลายเคสซากวัวมีรูขนาดใหญ่บริเวณรอบกระดูกขากรรไกรและขากรรไกรและลิ้นของมันหายไป และอีกหลายเคสอวัยวะเพศของวัวทั้งตัวผู้และตัวเมียจะหายไป สำหรับวัวตัวเมียลูกตาและเต้านมจะหายไปด้วย

นอกจากนั้น ยังพบรังสีตกค้างบริเวณใกล้ซากวัวและที่น่าประหลาดใจ ก็คือ สัตว์ที่กินของเน่าจะไม่แตะต้องซากวัวเลย


ปรากฏการณ์นี้มีข้อสังเกตหลายอย่าง คือ หลายเคสวัวที่ตายจำนวนมาก ถูกทำเครื่องหมายซึ่งเรืองแสง ว่ากันว่ามีวัตถุประสงค์เพื่อให้เห็นได้ในเวลากลางคืน และสิ่งนี้อธิบายได้ว่ามันไม่ได้เกิดจากฝีมือของสัตว์นักล่าอย่างหมาป่าหรือสุนัขจิ้งจอก และหลายเคสยังเกิดขึ้นในบริเวณใกล้บ้านเจ้าของวัวซึ่งเลี้ยงหมาไว้ด้วย ซึ่งหากมีคนหรือสัตว์บุกรุกเข้ามาหมาจะเห่า แต่ทว่ากลับไม่มีเสียงเห่าจากหมาเลย


ข้อสังเกตอีกอย่างหนึ่งคือในกรณีที่เกิดกับลูกวัว ปกติแม่วัวจะคอยดูแลปกป้องอันตรายให้กับลูกวัว หากมีอันตรายเข้ามาใกล้แม่วัวจะร้องซึ่งจะทำเจ้าของวัวได้ยิน แต่กลับไม่มีเสียงร้องจากแม่วัว

การศึกษาเพื่อไขปริศนาปรากฏการณ์นี้มีมานานแล้ว ในขณะที่มนุษย์มีเทคโนโลยีที่ก้าวหน้า ทว่าก็ยังหาคำตอบไม่ได้ว่ามันเกิดจากอะไร


ครั้งหนึ่งมีการศึกษาที่น่าสนใจโดย ดร. จอห์น อัลชูเลอร์ โดยการเปรียบเทียบเนื้อเยื่อที่เกิดจากการผ่าตัดโดยเครื่องผ่าตัดเลเซอร์(LASER SURGERY)ในวงการแพทย์ กับเนื้อเยื่อของวัวที่ตายอย่างลูกวัวของทาเลียเฟอโร ซึ่งพบว่าเนื้อเยื่อที่เกิดจากการผ่าตัดโดยเครื่องผ่าตัดเลเซอร์มีคาร์บอนปนเปื้อนอยู่แต่กลับไม่พบในเนื้อเยื่อของวัวที่ตายแบบเดียวกับลูกวัวของทาเลียเฟอโร ดร.อัลชูเลอร์ถึงกับกล่าวว่า ไม่รู้จริงๆ ว่ารูที่ท้องวัวเกิดจากการตัดหรือผ่าโดยเครื่องมืออะไร



ปัจจุบันมีทฤษฎีที่อธิบายปรากฏการณ์นี้อยู่ 3 ทฤษฎี ทฤษฎีแรก อธิบายว่าเกิดจากการทดลองอาวุธชีวภาพของรัฐบาล เหตุผลที่สนับสนุนทฤษฎีนี้ก็คือ มีผู้เห็นเฮลิคอปเตอร์สีดำบินอยู่เหนือท้องทุ่งในยามค่ำคืน และรุ่งเช้าก็จะพบซากวัว แต่ทฤษฎีนี้แทบจะหาหลักฐานใดๆ มาสนับสนุนได้เลย


ทฤษฎีที่สองเกิดจากฝีมือของสัตว์ประหลาดที่เรียกว่า "ชูพาคาบรา" (Chupacabra ) ซึ่งแปลว่า "ปีศาจดูดเลือด" มีรายงานการพบเห็นชูพาคาบราในแถบแคริเบียนและอีกหลายประเทศในอเมริกาใต้แม้กระทั่งที่ฟลอริดาในอเมริกาด้วย โดยเฉพาะในเปอร์โตริโก ไก่และกระต่ายในฟาร์มต่างๆ ตายนับพันตัวโดยมีรูที่ลำตัวเหมือนถูกเจาะ

ผู้พบเห็นชูพาคาบราบรรยายว่า มันสูง 4 ฟุต ผิวหนังสีเทา ดวงตาแดง มีขาคล้ายจิงโจ้ และมีเดือยแหลมที่หลัง ผู้พบเห็นบางคนรายงานว่า มันมีปีกและบินได้ด้วย



ชูพาคาบรา (Chupacabra )
ทฤษฎีนี้อธิบายว่า "ชูพาคาบรา" จะออกล่าเหยื่อตามฟาร์มในยามค่ำคืน มันจะจัดการกับเหยื่อด้วยการดูดเลือดและบางครั้งจะนำอวัยวะภายในออกไปกินที่อื่น บางคนเชื่อว่ามันเป็นสัตว์ทดลองของรัฐบาล แต่บางคนเชื่อว่ามันเป็นสัตว์ของมนุษย์ต่างดาว ที่นำมาปล่อยทิ้งไว้บนโลก

มีคนเชื่อทฤษฎีนี้มากเหมือนกัน แต่หลักฐานซากสัตว์ประหลาดที่ เดวิน แม็คแอนนาลี ยิงตายที่ฟาร์มไก่ของเขาที่เมืองพอลล็อค รัฐเท็กซัส เมื่อ วันที่ 14 ตุลาคม 2004 เป็นสัตว์ที่คล้ายสุนัขจิ้งจอก สีน้ำเงินปนเทา ซึ่งไม่น่าจะมีพิษสงถึงขนาดฆ่าวัวได้ ทำให้ทฤษฎีนี้มีจุดอ่อน


ทฤษฎีที่สาม อธิบายว่า เกิดจากฝีมือของมนุษย์ต่างดาว ยูเอฟโอจะบินมาลอยอยู่เหนือท้องทุ่งแล้วปล่อยลำแสงยกวัวเข้าไปภายในยาน หลังจากนั้นมนุษย์ต่างดาวจะทำการชำแหละวัวเพื่อศึกษาอวัยวะต่างๆ

นักวิจัยยูเอฟโอส่วนใหญ่เชื่อทฤษฎีนี้ บางคนบอกว่าไม่เพียงแต่มนุษย์ต่างดาวจะศึกษาสัตว์โลกเพื่อวัตถุประสงค์ทางชีววิทยาเท่านั้น แต่ยิ่งไปกว่านั้นนี่คือการสื่อสารที่ทำให้มนุษย์รู้สึกกลัว มนุษย์ต่างดาวจงใจจะบอกกับมนุษย์ว่า "นี่คือสิ่งที่พวกเราทำได้และไม่มีทางที่พวกคุณจะหยุดยั้งมันได้ด้วย"


ทว่าทฤษฎีนี้ก็ยังขาดหลักฐานมาสนับสนุนเช่นภาพถ่ายที่น่าเชื่อถือ แม้ว่าจะมีรายงานการกล่าวอ้างว่ามีการพบเห็นปรากฏการณ์แบบนี้นับสิบรายก็ตาม มันจึงเหมือนกับปรากฏการณ์ยูเอฟโออื่นๆ หรือคอร์ปเซอร์เคิล ซึ่งว่าไปก็เป็นเพียงแค่จินตนาการเท่านั้น

การศึกษาปรากฏการณ์นี้ยังมีต่อไปตราบใดที่วัวในท้องทุ่งยังคงตายแบบนี้อีกและจนกว่าจะหาคำตอบได้ แต่ในที่สุดแล้ว ไม่ว่าจะเกิดจากอะไรก็ตาม มันเป็นปรากฏการณ์ที่เจ้าของฟาร์มวัวไม่อยากให้เกิดขึ้นอีกเลย

มนุษย์ต่างดาวมีจริงไหม ?

ktt

ในดวงดาวนับหมื่นล้านดวงของจักรวาลจะไม่มีดาวเคราะห์ดวงอื่นที่มีสิ่งมีชีวิตทรงภูมิปัญญาเหมือนมนุษย์อีกเลยหรือ มนุษย์ต่างดาวเคยมาเยือนโลกจริงหรือไม่






มนุษย์ต่างดาวมีจริงหรือไม่

จากบินจากนอกโลกเคยมาเยือนโลกจริงหรือ



ในวัฒนธรรมร่วมสมัย (Popular Culture) ความคิดเรื่องมนุษย์ต่างดาวได้รับการเผยแพร่ผ่านสื่อต่างๆ อย่างต่อเนื่อง ทั้งนิยายวิทยาศาสตร์ สารคดี ภาพยนตร์ชุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากการถ่ายทอดลงบนแผ่นฟิล์มภาพยนตร์แนววิทยาศาสตร์ หรือไซไฟ และล่าสุดอินเทอร์เน็ต

ความเชื่อเรื่องมนุษย์ต่างดาวจะฟังดูเหลวไหลสำหรับคนทั่วไป แต่สำหรับนักวิทยาศาสตร์เองให้ความสนใจการมาเยือนของสิ่งมีชีวิตนอกโลกไม่แพ้กัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งโครงการสืบหาร่องรอยของสิ่งมีชีวิตจากนอกโลกโดยองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งสหรัฐหรือนาซา ที่ดำเนินมาอย่างต่อเนื่อง


สิ่งมีชีวิตที่องค์การนาซากำลังดำเนินโครงการค้นหาอยู่เป็นสิ่งมีชีวิตระดับพื้นฐานมาก แม้แต่ความพยายามสืบค้นว่าดาวอังคารยังมีน้ำ แหล่งกำเนิดของชีวิตอยู่ใต้ผิวดินหรือไม่ ก็ยังคาดหมายว่าอย่างดีคงได้พบแค่จุลินทรีย์เท่านั้น

จึงเป็นเรื่องยากที่จะเชื่อว่ามีใครสักคนเคยพบกับมนุษย์ต่างดาว และเคยเห็นพาหนะที่ใช้เดินทางข้ามกาแล็กซีมาแล้ว แต่สำหรับ ศ.ดร.นพ.เทพพนม เมืองแมน ไม่เพียงแต่เชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจ เขายังเป็นผู้หนึ่งที่เปิดเผยกับสาธารณชนมาตลอดว่า มนุษย์ต่างดาวมีจริง และเขาเป็นหนึ่งในนั้นที่พบและพูดคุยกับมิตรจากนอกโลกที่นำคำทำนายอวสานโลกมาด้วย


"จากการติดต่อกับมนุษย์ต่างดาวครั้งล่าสุดด้วยการสื่อสารทางจิต เขา (มนุษย์ต่างดาว) ได้ฉายลำแสงขึ้นฟ้าให้ผมถ่ายเป็นภาพ ซึ่งตีความหมายได้ว่า อีก 6 ปีข้างหน้าน้ำจะท่วมมหาศาล จนเป็นเมืองใต้บาดาล แผ่นดินไทยจะหายไปกว่าครึ่งประเทศถึงแนวระดับ จ.นครสวรรค์ และภาคอีสานตอนบน โดยจะมีพายุงวงช้างนำมาก่อน ตามมาด้วยคลื่นยักษ์ และแผ่นดินไหวหลังจากนั้นจะเกิดสงครามโลกครั้งที่ 3 โดยประเทศมหาอำนาจในตะวันออกกลาง และมีอุกกาบาตพุ่งเข้าล้างเผ่าพันธุ์มนุษยชาติ" ศ.ดร.นพ.เทพพนม เมืองแมน นายกสมาคมเวชพิพัฒน์ กล่าว


ย้อนไปราว 50 ปี น.พ.เทพพนม (ตำแหน่งในขณะนั้น) ได้ทุนการศึกษาจากกองทุนข้าราชการพลเรือน (ก.พ.) ไปศึกษาต่อด้านการแพทย์ ณ สหรัฐอเมริกากว่า 15 ปี และเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นจานยูเอฟโอ พร้อมกับชาวอเมริกันกว่าพันคนที่อยู่ในละแวกเดียวกัน

"เหตุการณ์ครั้งนั้นเกิดเมื่อประมาณ 10 นาฬิกาของเช้าวันหนึ่ง ขณะไปแคมปิงกับเพื่อนโดยใช้กล้องส่องทางไกลที่พกอยู่ พบว่าวัตถุที่เห็นมีลักษณะเป็นจานโดมสีเงิน 2 ลำลอยคู่กัน หลังจากนั้นสักครู่ก็มีคนโทรศัพท์แจ้งกองทัพอากาศอเมริกัน ซึ่งทางกองทัพได้ส่งเครื่องบินเจ็ทมาไล่ถึง 2 ลำ ทำให้จานบินลอยขึ้นในแนวตรงจนหายลับไปจากท้องฟ้า"


นายกสมาคมเวชพิพัฒน์เล่าว่า ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมา เขาสามารถถ่ายรูปจานบินเก็บไว้ได้กว่า 200 ลำ และมนุษย์ต่างดาวที่ออกมาจากยานประมาณ 30 คน ทั้งที่คล้ายมนุษย์และหน้าตาประหลาดต่างกันออกไปหรือแม้แต่ไม่มีหน้าตา ในสถานที่ต่างๆ เช่น อุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เขากะลา ท่าตะโก จ.นครสวรรค์ สะพานแม่น้ำแคว จ.กาญจนบุรี ประเทศอียิปต์ ประเทศจีน เป็นต้น

นับแต่นั้นจนปัจจุบันอายุย่างเข้า 72 ปีแล้ว เขายังติดตามข้อมูลเกี่ยวกับมนุษย์ต่างดาวหรือจานบิน รวมถึงศึกษาหาวิธีติดต่อสื่อสารกับมนุษย์ต่างดาวอย่างเข้าใจกัน ทั้งการรับนิตยสารต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับมนุษย์ต่างดาวจากต่างประเทศ อาทิเช่น อเมริกา อังกฤษ ยุโรป เยอรมนี และการติดต่อกับกลุ่มผู้สนใจและศึกษาอยู่ก่อน



ขณะเดียวกัน ในสหรัฐมีโครงการสืบหาสิ่งมีชีวิตที่มีภูมิปัญญานอกโลกที่รู้จักกันดีในนาม เซติแอตโฮม ( http://setiathome.berkeley.edu ) รับผิดชอบโดยห้องปฏิบัติการวิจัย วิทยาศาสตร์อวกาศ มหาวิทยาลัยแคลิฟอร์เนีย

โครงการดังกล่าวเริ่มต้นมาตั้งแต่เดือนพฤษภาคม พ.ศ. 2542 ใช้ข้อมูลจากกล้องโทรทรรศน์คลื่นวิทยุอเรซิโบเพื่อค้นหาสัญญาณวิทยุที่น่าจะเป็นสัญญาณที่ส่งมาจากสิ่งมีชีวิตที่มีปัญญานอกโลก


การค้นหาสัญญาณวิทยุของทีมงานคล้ายกับการจูนเครื่องรับวิทยุหาช่องสัญญาณที่กำลังส่งชัดเจน แต่เนื่องจากข้อมูลที่ได้จากกล้องโทรทรรศน์มีจำนวมหาศาล นักวิจัยประจำโครงการจึงพัฒนาซอฟต์แวร์ขนาดเล็กที่เปิดให้ผู้สนใจเข้าร่วมโครงการดาวน์โหลดลงเครื่องคอมพิวเตอร์พีซี ทุกครั้งที่คอมพิวเตอร์ออนไลน์ระบบจะคอยตรวจสอบดูว่าเครื่องพีซีว่างจากการใช้งานหรือไม่ ถ้าเครื่องถูกเปิดทิ้งไว้เฉยๆ คอมพิวเตอร์ศูนย์กลางจะใช้พลังประมวลผลของพีซีมาช่วยอ่านสัญญาณ


ปัจจุบัน มีคอมพิวเตอร์เข้าร่วมโครงการแล้ว 5.2 ล้านเครื่อง แต่ปัญหาของโครงการตามหามนุษย์ต่างดาวของสหรัฐนี้คือ ผู้เข้าร่วมโครงการถอนตัว และคอมพิวเตอร์ 1 ใน 3 เป็นคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในสถานการศึกษาและภาคธุรกิจ ซึ่งผู้ดูแลระบบมักกังวลด้านความปลอดภัยด้านการเจาะระบบข้อมูล แต่ปัญหาใหญ่สุดของโครงการนี้คือ ทุนสนับสนุน

ในต่างประเทศ การศึกษาเพื่อค้นหาสิ่งมีชีวิตนอกโลกไม่ได้เป็นเรื่องเหลวไหล ตรงกันข้ามยังเปิดเวทีกระตุ้นความสนใจอย่างกว้างขวาง ดังเห็นได้จากนิทรรศการ "วิทยาศาสตร์สิ่งมีชีวิตจากต่างดาว" ที่พิพิธภัณฑ์วิทยาศาสตร์และระบบดาวเคราะห์ของไมอามีจัดขึ้นเพื่อให้ความรู้แก่สาธารณชน นอกจากนี้ กลุ่มที่เชื่อและเคยมีประสบการณ์เผชิญหน้ากับมนุษย์ต่างดาวยังจัดประชุมประจำปีเพื่อแลกเปลี่ยนข้อมูลกันอย่างสม่ำเสมอ